บ้านของเรา…ที่ที่เราใช้ชีวิต พักผ่อน และสร้างความทรงจำดีๆ ร่วมกัน แต่บางครั้งบ้านที่เรารักก็ต้องการการปรับปรุงเพื่อให้ทันสมัยและตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป และสิ่งที่สำคัญไม่แพ้ความสวยงามคือ “ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน” หลังการปรับปรุงบ้าน หลายคนอาจสงสัยว่าการปรับปรุงบ้านครั้งนี้ช่วยประหยัดพลังงานได้จริงหรือไม่?
แล้วเราจะวัดผลได้อย่างไร? จากประสบการณ์ตรงที่บ้านตัวเอง บอกเลยว่ามันมีวิธี! ซึ่งมันไม่ได้ยากอย่างที่คิดเลยนะแน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะเทรนด์โลกตอนนี้มุ่งไปที่ความยั่งยืนและการประหยัดพลังงานมากขึ้นเรื่อยๆ แถมยังมีเรื่องของเทคโนโลยี Smart Home ที่เข้ามามีบทบาท ทำให้การวัดผลและวิเคราะห์การใช้พลังงานทำได้ง่ายและแม่นยำกว่าเดิมอีกด้วย ในอนาคตเราอาจได้เห็นบ้านที่สามารถปรับตัวและจัดการพลังงานได้เองโดยอัตโนมัติ เพื่อลดค่าใช้จ่ายและรักษาสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กันดังนั้น เรามาเรียนรู้วิธีวัดประสิทธิภาพการใช้พลังงานหลังการปรับปรุงบ้านอย่างละเอียดกันเลยดีกว่า เพื่อให้เรามั่นใจได้ว่าการลงทุนของเรานั้นคุ้มค่าและเป็นมิตรต่อโลกอย่างแท้จริง ไปติดตามกันเลย!
ต่อไปนี้เราจะมาเรียนรู้อย่างละเอียดกันนะครับ!
การสำรวจบ้านหลังปรับปรุง: จุดเริ่มต้นสู่การประเมินประสิทธิภาพพลังงาน
การปรับปรุงบ้านเป็นเหมือนการเริ่มต้นใหม่ เราได้บ้านที่สวยงาม ทันสมัย และตอบโจทย์การใช้งานมากขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ “ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน” ที่เราต้องใส่ใจและวัดผลอย่างจริงจัง ซึ่งการสำรวจบ้านหลังปรับปรุงอย่างละเอียดถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการประเมินประสิทธิภาพพลังงานของบ้านเราครับ
1. ตรวจสอบฉนวนกันความร้อน: เกราะป้องกันพลังงาน
* สำรวจผนังและหลังคา: มองหาร่องรอยความเสียหาย รอยแตกร้าว หรือจุดที่ฉนวนอาจเสื่อมสภาพ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นช่องทางให้ความร้อนเล็ดลอดเข้ามาในบ้าน ทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักขึ้น
* ตรวจสอบชนิดและความหนาของฉนวน: สอบถามผู้รับเหมาหรือดูจากเอกสารการก่อสร้าง เพื่อให้ทราบว่าฉนวนที่ใช้มีคุณสมบัติในการป้องกันความร้อนได้ดีแค่ไหน และมีความหนาเพียงพอหรือไม่
* พิจารณาการเพิ่มฉนวน: หากพบว่าฉนวนเดิมไม่เพียงพอ หรือมีจุดที่ฉนวนบางเกินไป การเพิ่มฉนวนจะช่วยลดการใช้พลังงานได้อย่างมาก
2. เช็คระบบปรับอากาศ: หัวใจของการใช้พลังงานในบ้าน
* ตรวจสอบสภาพเครื่องปรับอากาศ: ดูว่าเครื่องปรับอากาศมีรอยรั่วซึม มีฝุ่นเกาะ หรือมีเสียงดังผิดปกติหรือไม่ เพราะอาการเหล่านี้อาจบ่งบอกว่าเครื่องปรับอากาศกำลังทำงานหนักเกินไป
* ทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศ: แผ่นกรองอากาศที่สกปรกจะทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักขึ้นและสิ้นเปลืองพลังงานมากขึ้น ควรทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศอย่างน้อยเดือนละครั้ง
* ตั้งอุณหภูมิให้เหมาะสม: การตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้สูงขึ้นเล็กน้อย (เช่น 25-26 องศาเซลเซียส) จะช่วยประหยัดพลังงานได้มาก โดยที่ยังรู้สึกสบายอยู่
3. สำรวจหน้าต่างและประตู: จุดที่มักถูกมองข้าม
* ตรวจสอบรอยรั่ว: ใช้มือลูบตามขอบหน้าต่างและประตูเพื่อหารอยรั่ว หากมีลมลอดเข้ามาได้ แสดงว่ามีช่องว่างที่ความร้อนสามารถเล็ดลอดเข้ามาได้เช่นกัน
* ใช้เทียนหรือไฟแช็ก: จุดเทียนหรือไฟแช็กใกล้กับขอบหน้าต่างและประตู หากเปลวไฟสั่นไหว แสดงว่ามีลมรั่วเข้ามา
* พิจารณาการเปลี่ยนหน้าต่างและประตู: หากหน้าต่างและประตูเก่าเกินไป หรือมีรอยรั่วมาก การเปลี่ยนเป็นหน้าต่างและประตูที่มีฉนวนกันความร้อนที่ดีกว่า จะช่วยลดการใช้พลังงานได้มาก
ทำความเข้าใจค่าไฟ: อ่านบิลให้เป็น ประหยัดไฟได้จริง
การอ่านบิลค่าไฟเป็นเหมือนการถอดรหัสลับที่ซ่อนอยู่ ถ้าเราเข้าใจว่าแต่ละตัวเลขหมายถึงอะไร เราก็จะสามารถวางแผนการใช้ไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประหยัดเงินในกระเป๋าได้อีกด้วยครับ
1. ทำความเข้าใจหน่วยวัด: kWh คืออะไร?
* kWh (กิโลวัตต์-ชั่วโมง): เป็นหน่วยวัดพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในบ้านของเรา ยิ่งเราใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีกำลังวัตต์สูงเป็นเวลานานเท่าไหร่ ค่า kWh ก็จะยิ่งสูงขึ้น
* เปรียบเทียบการใช้ไฟ: ลองเปรียบเทียบค่า kWh ในเดือนนี้กับเดือนก่อนหน้า หรือปีที่แล้ว เพื่อดูว่าเราใช้ไฟมากขึ้นหรือน้อยลง
* คำนวณค่าไฟคร่าวๆ: นำจำนวน kWh ที่ใช้ในเดือนนั้นมาคูณกับอัตราค่าไฟต่อหน่วย (ที่ระบุไว้ในบิล) ก็จะได้ค่าไฟคร่าวๆ ที่เราต้องจ่าย
2. วิเคราะห์พฤติกรรมการใช้ไฟ: หาตัวการกินไฟ
* สังเกตการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า: ลองสังเกตดูว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดไหนที่เราใช้บ่อยที่สุด และกินไฟมากที่สุด (เช่น เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น)
* ใช้เครื่องวัดพลังงาน: ซื้อเครื่องวัดพลังงานมาใช้ เพื่อวัดปริมาณไฟที่เครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดใช้ จะช่วยให้เราเห็นภาพรวมของการใช้ไฟได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
* ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม: เมื่อรู้แล้วว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดไหนกินไฟมาก ก็ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟ เช่น ปิดไฟเมื่อไม่ใช้งาน ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ใช้ หรือใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัดไฟ
3. เปรียบเทียบอัตราค่าไฟ: เลือกโปรโมชั่นที่ใช่
* ตรวจสอบอัตราค่าไฟ: ในบิลค่าไฟจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับอัตราค่าไฟต่อหน่วย ซึ่งอาจแตกต่างกันไปตามช่วงเวลาและปริมาณการใช้ไฟ
* เปรียบเทียบโปรโมชั่น: ลองเปรียบเทียบโปรโมชั่นค่าไฟของการไฟฟ้า เพื่อดูว่ามีโปรโมชั่นไหนที่เหมาะกับพฤติกรรมการใช้ไฟของเราบ้าง
* วางแผนการใช้ไฟ: หากมีโปรโมชั่นค่าไฟที่แตกต่างกันตามช่วงเวลา ก็ลองวางแผนการใช้ไฟให้สอดคล้องกับโปรโมชั่นนั้นๆ เพื่อประหยัดค่าไฟให้ได้มากที่สุด
เทคโนโลยี Smart Home: ผู้ช่วยอัจฉริยะประหยัดพลังงาน
ในยุคดิจิทัล เทคโนโลยี Smart Home ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เราประหยัดพลังงานได้อย่างชาญฉลาด ด้วยอุปกรณ์และแอปพลิเคชั่นที่เชื่อมต่อกัน ทำให้เราสามารถควบคุมและจัดการการใช้พลังงานในบ้านได้อย่างง่ายดายและมีประสิทธิภาพ
1. Smart Thermostat: ควบคุมอุณหภูมิอย่างแม่นยำ
* ตั้งเวลาเปิด-ปิดอัตโนมัติ: ตั้งเวลาให้เครื่องปรับอากาศเปิด-ปิดตามตารางเวลาที่เรากำหนด เช่น เปิดเฉพาะช่วงที่เราอยู่บ้าน หรือปิดในช่วงที่เรานอนหลับ
* ควบคุมผ่านสมาร์ทโฟน: สั่งเปิด-ปิดเครื่องปรับอากาศจากระยะไกลผ่านสมาร์ทโฟนได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถควบคุมอุณหภูมิในบ้านได้
* เรียนรู้พฤติกรรมการใช้: Smart Thermostat บางรุ่นสามารถเรียนรู้พฤติกรรมการใช้เครื่องปรับอากาศของเราได้ และปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ
2. Smart Lighting: ปรับแสงสว่างตามต้องการ
* ควบคุมความสว่าง: ปรับความสว่างของหลอดไฟให้เหมาะสมกับกิจกรรมที่ทำ เช่น หรี่ไฟเมื่อดูหนัง หรือปรับให้สว่างเมื่ออ่านหนังสือ
* เปลี่ยนสีหลอดไฟ: เปลี่ยนสีหลอดไฟให้เข้ากับบรรยากาศที่ต้องการ เช่น ใช้สีโทนอุ่นเมื่อพักผ่อน หรือใช้สีโทนเย็นเมื่อทำงาน
* ตั้งเวลาเปิด-ปิดอัตโนมัติ: ตั้งเวลาให้ไฟเปิด-ปิดตามตารางเวลาที่เรากำหนด หรือตั้งให้ไฟเปิดเมื่อมีคนเดินผ่าน
3. Smart Plug: ตัดไฟเมื่อไม่ใช้งาน
* ควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้า: เสียบ Smart Plug เข้ากับเครื่องใช้ไฟฟ้า แล้วควบคุมการเปิด-ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าผ่านสมาร์ทโฟน
* ตั้งเวลาปิดอัตโนมัติ: ตั้งเวลาให้ Smart Plug ตัดไฟเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยอัตโนมัติเมื่อไม่ได้ใช้งาน เช่น ตั้งให้ตัดไฟทีวีหลังจากที่เรานอนหลับ
* วัดปริมาณการใช้ไฟ: Smart Plug บางรุ่นสามารถวัดปริมาณไฟที่เครื่องใช้ไฟฟ้าใช้ได้ ทำให้เราทราบว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดไหนกินไฟมากที่สุด
ปัจจัย | ก่อนปรับปรุง | หลังปรับปรุง | ผลลัพธ์ |
---|---|---|---|
ค่าไฟเฉลี่ยต่อเดือน | 5,000 บาท | 3,500 บาท | ประหยัด 1,500 บาท/เดือน |
อุณหภูมิภายในบ้าน | สูง (ไม่สบายตัว) | คงที่ (สบายตัว) | สบายตัวมากขึ้น |
การใช้เครื่องปรับอากาศ | เปิดตลอดวัน | เปิดเฉพาะช่วงที่จำเป็น | ลดการใช้เครื่องปรับอากาศ |
ความสว่างภายในบ้าน | ไม่เพียงพอ | เพียงพอ | มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น |
ความสะดวกสบาย | ไม่สะดวก | สะดวกสบาย | ควบคุมได้ง่ายขึ้น |
ลงทุนเพื่ออนาคต: มองหาตัวช่วยจากภาครัฐ
การปรับปรุงบ้านเพื่อประหยัดพลังงานอาจต้องใช้เงินลงทุนจำนวนหนึ่ง แต่รู้หรือไม่ว่าภาครัฐมีโครงการและมาตรการต่างๆ ที่จะช่วยสนับสนุนและแบ่งเบาภาระของเราได้ ลองมาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่เราสามารถใช้ประโยชน์ได้
1. โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ: กู้เงินง่าย ประหยัดดอกเบี้ย
* ตรวจสอบเงื่อนไข: ตรวจสอบเงื่อนไขของโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำจากธนาคารต่างๆ ที่ร่วมกับภาครัฐ เพื่อดูว่าเรามีคุณสมบัติครบถ้วนหรือไม่
* เตรียมเอกสาร: เตรียมเอกสารที่จำเป็น เช่น สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน แผนการปรับปรุงบ้าน และใบเสนอราคาจากผู้รับเหมา
* ยื่นขอสินเชื่อ: ยื่นขอสินเชื่อตามขั้นตอนที่ธนาคารกำหนด และรอการอนุมัติ
2. มาตรการลดหย่อนภาษี: ลดภาระภาษี เพิ่มเงินในกระเป๋า
* ตรวจสอบเงื่อนไข: ตรวจสอบเงื่อนไขของมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับการปรับปรุงบ้านเพื่อประหยัดพลังงาน ว่ามีค่าใช้จ่ายส่วนใดบ้างที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้
* เก็บหลักฐาน: เก็บหลักฐานการใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงบ้าน เช่น ใบเสร็จค่าวัสดุอุปกรณ์ ใบเสร็จค่าแรง และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
* ยื่นแบบภาษี: นำหลักฐานการใช้จ่ายมายื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพื่อขอรับสิทธิลดหย่อนภาษี
3. ขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ: วางแผนอย่างมืออาชีพ
* ติดต่อหน่วยงานภาครัฐ: ติดต่อหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการประหยัดพลังงาน เช่น กระทรวงพลังงาน หรือสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เพื่อขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการปรับปรุงบ้าน
* ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการประหยัดพลังงาน เพื่อขอคำแนะนำในการเลือกวัสดุอุปกรณ์ และวิธีการปรับปรุงบ้านที่เหมาะสมกับบ้านของเรา
* วางแผนอย่างรอบคอบ: วางแผนการปรับปรุงบ้านอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงงบประมาณ ระยะเวลา และผลประโยชน์ที่จะได้รับ
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม: สร้างนิสัยประหยัดพลังงาน
การปรับปรุงบ้านเป็นเพียงจุดเริ่มต้น สิ่งที่สำคัญกว่าคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้พลังงานในชีวิตประจำวัน เพื่อให้บ้านของเราประหยัดพลังงานได้อย่างยั่งยืน
1. ปิดไฟเมื่อไม่ใช้งาน: ง่ายๆ แต่ได้ผล
* ติดป้ายเตือน: ติดป้ายเตือนให้ปิดไฟตามจุดต่างๆ ในบ้าน เพื่อเตือนให้ทุกคนในบ้านตระหนักถึงการประหยัดพลังงาน
* ใช้หลอดไฟ LED: เปลี่ยนมาใช้หลอดไฟ LED ซึ่งประหยัดพลังงานกว่าหลอดไฟแบบเดิมถึง 80% และมีอายุการใช้งานยาวนานกว่า
* ใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว: ติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวในบริเวณที่ไม่ค่อยมีคนใช้งาน เพื่อให้ไฟเปิด-ปิดโดยอัตโนมัติ
2. ถอดปลั๊กเมื่อไม่ใช้งาน: ลดการใช้ไฟแฝง
* ใช้ปลั๊กพ่วงที่มีสวิตช์: ใช้ปลั๊กพ่วงที่มีสวิตช์ เพื่อให้สามารถปิดไฟเครื่องใช้ไฟฟ้าได้พร้อมกันหลายเครื่อง
* ถอดปลั๊กเครื่องชาร์จ: ถอดปลั๊กเครื่องชาร์จโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์อื่นๆ เมื่อชาร์จเต็มแล้ว
* ปิดสวิตช์เครื่องใช้ไฟฟ้า: ปิดสวิตช์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ใช้งาน เช่น ทีวี คอมพิวเตอร์ และเครื่องเสียง
3. ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างชาญฉลาด: เลือกใช้ให้เหมาะสม
* เลือกเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัดไฟ: เลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ซึ่งแสดงว่าเครื่องใช้ไฟฟ้านั้นประหยัดพลังงาน
* ใช้เครื่องซักผ้าเมื่อมีผ้าเต็มถัง: ซักผ้าเมื่อมีผ้าเต็มถัง เพื่อประหยัดน้ำและพลังงาน
* ละลายน้ำแข็งในตู้เย็น: ละลายน้ำแข็งในตู้เย็นอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ตู้เย็นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพการวัดผลและปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานหลังการปรับปรุงบ้านเป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องและใส่ใจในรายละเอียด แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือบ้านที่น่าอยู่ ประหยัดค่าใช้จ่าย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริงครับ
บทสรุป
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับทุกท่านในการสำรวจและปรับปรุงบ้านให้ประหยัดพลังงานนะครับ การเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ในวันนี้ จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต ช่วยให้เราประหยัดค่าใช้จ่าย มีชีวิตที่ดีขึ้น และรักษาสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กันครับ ลองนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปปรับใช้กันดูนะครับ แล้วมาแชร์ผลลัพธ์ให้ฟังบ้างนะครับ
อย่าลืมว่าการประหยัดพลังงานเป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องและใส่ใจในรายละเอียดนะครับ
ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการใช้ชีวิตในบ้านที่ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมครับ!
ข้อมูลที่เป็นประโยชน์
1. ตรวจสอบฉลากประหยัดไฟ: ก่อนซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกครั้ง มองหาฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เพื่อเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประหยัดพลังงาน
2. ใช้แอปพลิเคชั่นคำนวณค่าไฟ: มีแอปพลิเคชั่นมากมายที่ช่วยคำนวณค่าไฟจากเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ทำให้เราวางแผนการใช้ไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. เข้าร่วมกลุ่มหรือชุมชนออนไลน์: เข้าร่วมกลุ่มหรือชุมชนออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับการประหยัดพลังงาน เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับผู้อื่น
4. ติดตามข่าวสารและโปรโมชั่น: ติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นเกี่ยวกับการประหยัดพลังงานจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อไม่พลาดโอกาสในการรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ
5. จัดกิจกรรมในครอบครัว: จัดกิจกรรมในครอบครัวที่ส่งเสริมการประหยัดพลังงาน เช่น แข่งขันกันปิดไฟ หรือรณรงค์ให้ทุกคนในบ้านใช้พลังงานอย่างมีสติ
ข้อควรจำ
การประเมินประสิทธิภาพพลังงานของบ้านหลังปรับปรุงเป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ต้องใส่ใจในรายละเอียด
การอ่านบิลค่าไฟอย่างละเอียดจะช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรมการใช้ไฟและวางแผนการประหยัดพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เทคโนโลยี Smart Home สามารถช่วยให้เราควบคุมและจัดการการใช้พลังงานในบ้านได้อย่างชาญฉลาด
การลงทุนเพื่อปรับปรุงบ้านเพื่อประหยัดพลังงานเป็นสิ่งที่คุ้มค่าในระยะยาว
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้พลังงานในชีวิตประจำวันเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้บ้านของเราประหยัดพลังงานได้อย่างยั่งยืน
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) 📖
ถาม: หลังปรับปรุงบ้านแล้ว จะรู้ได้ยังไงว่าประหยัดไฟจริงไหม? ต้องทำยังไงบ้าง?
ตอบ: เอาจริงๆ นะ ตอนแรกเราก็ไม่รู้จะเริ่มยังไงเหมือนกัน แต่สิ่งที่ง่ายที่สุดคือจดบันทึกค่าไฟก่อนและหลังปรับปรุงบ้านเป็นเวลา 3-6 เดือน เปรียบเทียบกันดูว่าค่าไฟลดลงไหม และที่สำคัญต้องดูสภาพอากาศด้วยนะ เพราะช่วงหน้าร้อนค่าไฟจะสูงกว่าปกติอยู่แล้ว นอกจากนี้ลองสังเกตมิเตอร์ไฟก็ได้ ถ้าหมุนช้าลง แสดงว่าใช้ไฟน้อยลงจริงๆ แต่ถ้าอยากได้ข้อมูลที่ละเอียดกว่านั้น ลองหาเครื่องวัดการใช้ไฟฟ้ามาใช้ดู วัดเป็นรายอุปกรณ์ไปเลย จะได้รู้ว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าตัวไหนกินไฟมากเป็นพิเศษ จะได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานได้ถูกต้อง
ถาม: ถ้าจะติด Smart Home เพื่อช่วยประหยัดไฟ ควรเริ่มจากตรงไหนดี? แล้วมันคุ้มค่าไหม?
ตอบ: ถ้าถามเรานะ เริ่มจากหลอดไฟ Smart Bulb เลย ง่ายสุด! เปลี่ยนหลอดไฟธรรมดาเป็นหลอดไฟที่ปรับความสว่างได้ ตั้งเวลาเปิดปิดได้ หรือจะใช้ Smart Plug ก็ดีนะ เอาไว้ควบคุมการเปิดปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ จากมือถือได้เลย แต่ถ้าอยากจะลงทุนแบบจริงจัง ลองดู Smart Thermostat หรือเครื่องปรับอากาศ Smart Air Conditioner พวกนี้จะช่วยควบคุมอุณหภูมิในบ้านให้คงที่ ประหยัดไฟได้เยอะเลย ส่วนเรื่องความคุ้มค่า อันนี้ต้องลองคำนวณดูว่าเราใช้ไฟมากแค่ไหน และ Smart Home จะช่วยประหยัดไฟได้เท่าไหร่ แต่ส่วนตัวเราว่ามันคุ้มนะ นอกจากจะช่วยประหยัดไฟแล้ว ยังทำให้ชีวิตสะดวกสบายขึ้นเยอะเลย
ถาม: นอกจากเปลี่ยนอุปกรณ์ไฟฟ้าแล้ว มีวิธีอื่นอีกไหมที่จะช่วยให้บ้านประหยัดพลังงานได้?
ตอบ: มีแน่นอน! เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็สำคัญนะ อย่างเช่น เปลี่ยนมาใช้ผ้าม่านกันความร้อน จะช่วยลดอุณหภูมิในบ้านได้เยอะเลย หรือถ้าบ้านใครมีสวน ลองปลูกต้นไม้ใหญ่ๆ รอบบ้าน ก็ช่วยบังแดด ลดความร้อนได้เหมือนกัน อีกอย่างที่สำคัญคือการดูแลรักษาเครื่องใช้ไฟฟ้าให้ดี อย่าปล่อยให้แอร์สกปรก หรือตู้เย็นมีน้ำแข็งเกาะ เพราะพวกนี้จะทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าทำงานหนัก กินไฟมากขึ้น นอกจากนี้ลองดูพวกฉนวนกันความร้อนบนหลังคาหรือผนังบ้านด้วย ถ้าบ้านใครเก่าแล้ว อาจจะไม่มีฉนวนกันความร้อน หรือฉนวนเสื่อมสภาพไปแล้ว การติดฉนวนใหม่จะช่วยลดความร้อนในบ้านได้เยอะเลยนะ
📚 อ้างอิง
Wikipedia Encyclopedia
구글 검색 결과
구글 검색 결과
구글 검색 결과
구글 검색 결과
구글 검색 결과